เทศน์ก่อนเวียนเทียนวันอาสาฬหบูชา วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เดี๋ยวจะพาเวียนเทียน เวียนเทียนเป็นบุญกุศล บุญกุศลเพราะว่าเราเป็นชาวพุทธ ถ้าเราเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนาสอนเรื่องบุญกุศลให้แสวงหาเอา ต้องมีการกระทำ ถ้าเราไม่กระทำมันจะเอาบุญมาจากไหน บุญเกิดจากการกระทำ เราไม่ใช่ขอนไม้นี่ ถ้าเราเป็นขอนไม้เราไม่ได้มีชีวิตนี่เราอยู่ของเราอย่างไรก็ได้ แต่มันมีวิญญาณ คนเรามีวิญญาณ วันนี้มี พรุ่งนี้ก็มี วันนี้มีมันมาจากไหน มาจากเมื่อวานนี้ แล้วพรุ่งนี้มีไหม? พรุ่งนี้ก็มี ถ้าเราทำปัจจุบันนี้ดี วันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ดี
ถ้าเราทำบุญกุศลไว้นี่ บุญกุศลจะพาให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง อย่าให้มันทุกข์จนเกินไป เวลาทุกข์ ทุกคนบ่นว่าทุกข์ ทุกข์มากๆ แล้วไม่รู้จักวิธีว่าจะออกจากทุกข์อย่างไร ถ้าเราออกจากทุกข์ไม่ได้ เราก็ไม่รู้จักทุกข์ว่าเป็นอย่างไรเหมือนกัน
นี้ก็เหมือนกัน เพราะเราทำตัวเหมือนขอนไม้ ถ้าเป็นชาวพุทธตามทะเบียนบ้าน เห็นไหม พุทธศาสนาสอนเรื่องทาน ศีล ภาวนา สอนเรื่องทำบุญกุศล สอนเรื่องของหัวใจ ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่ประเสริฐมากนะ ประเสริฐย้อนกลับมาที่ใจเลย สอนกลับมาที่ใจ เพราะใจนี้เป็นประธาน เป็นตัวใหญ่ เป็นประธาน เป็นผู้รู้ทั้งหมด สิ่งใดรับรู้ เห็นไหม สมบัติมีอยู่คนตายไปแล้วมันไม่รับรู้หรอก สมบัติก็เป็นสมบัติ คนตายไปแล้วก็นอนอยู่ในโลงอยู่ในนั้น เขาไม่มารับรู้สิ่งนี้
แต่หัวใจคนที่มีชีวิตอยู่มันจะรับรู้ แล้วมันจะยึดมั่นถือมั่นสิ่งนี้ สิ่งนี้ทำให้แสวงหา เราพยายามแสวงหามาเพื่อจะเป็นที่พึ่งของเรา มันจะเป็นที่พึ่งได้ ถ้าเป็นปัจจัยสี่เครื่องอาศัย แต่ถ้าหัวใจเราไม่ดีมันจะทำให้เราเสียคนได้ คนใช้เงินเปลือง คนใช้เงินน่ะ คนใช้เงินเปลือง เห็นไหม นั่นน่ะหัวใจรั่ว
ถ้าหัวใจรั่วเก็บหอมรอมริบไว้ไม่ได้ เราเก็บหอมรอมริบไว้ไม่ได้ เราหามาขนาดไหนเราก็ทุกข์ยากขณะหาไป แล้วว่าเราเกิดมาทำไมมันทุกข์มันจนล่ะ มันทุกข์มันจนเพราะเราไม่ได้ทำบุญกุศลไว้ ทำบุญกุศลเห็นไหม คนเกิดมา คนเกิดมาเกิดมามีความสุขก็มี เกิดมามีความทุกข์ก็มี คนเกิดมาเพราะการกระทำวันนี้ไม่ดี พรุ่งนี้มันจะดีได้อย่างไร แล้วเราคนเคยทำคุณงามความดีมาบ้าง ทำสิ่งใดมาบ้าง ทำสิ่งนั้นมา เห็นไหม
คนเราบอกว่าเกิดมานี่เราไม่ต้องนับถือศาสนาก็ได้ เราทำความดีก็เป็นความดี ความดีของกิเลส ความดีของการยึดมั่นถือมั่น ความดีของการแสวงหามาเพื่อตัวเอง เพื่อตัวเอง เห็นไหม ศาสนามีศีลมีธรรม ศีลคือการไม่เบียดเบียนกัน ปาณาติปาตา เห็นไหม ปาณาติปาตา เพียงแต่ว่าเราจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนน้ำใจเราก็ไม่ทำอยู่แล้ว สิ่งนั้นมันไม่เป็นประโยชน์กับทุกๆ คน การเพ่งมองอยู่ การดุ เห็นไหม สายตาดุเด็กมันก็ร้องไห้ เด็กมันก็เสียใจอยู่แล้ว
นั่นน่ะ ปาณาติปาตาถ้าเกิดจากใจ ใจมีความเมตตาจะทำสิ่งนั้นไม่ได้ สังคมก็จะมีความเป็นสุขร่มเย็นขึ้นมา ร่มเย็นจากศาสนา ร่มเย็นจากเรา ร่มเย็นจากชาวพุทธ ชาวพุทธสอนเรื่องนี้ แต่ถ้าเป็นชาวพุทธตามทะเบียนบ้าน ไม่ต้องทำอะไรเลย เราอยู่ของเรานี่ เราทำความดีของเราตลอดไป ความดีของเราเราก็คิดของเราไป คิดไปอย่างนั้น
ในเรื่องของศาสนานะ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ตรัสรู้ธรรม วันนี้วันประกาศธรรม เทศน์ธรรมจักร แล้วเป็นวันอาสาฬหบูชา เราทำสิ่งนี้เรานึกถึงผลจากที่เรามาพบศาสนา เราพบศาสนาเราจะได้มีบุญกุศลของเรา บุญกุศลของเรานะ
ถ้าบุญกุศลของคนอื่น เห็นไหม ศาสนาเป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าคนทำแล้วก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมสืบๆ ต่อกันมา แล้วเราเกิดในสังคมของชาวพุทธ เห็นไหม มีการให้ทานอยู่ เราเป็นเด็กเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้วแต่ ตกทุกข์ได้ยากคนช่วยเหลือเจือจานเรา นี่เป็นความดีของคนอื่น เป็นความดีของสังคม สังคมของชาวพุทธ สังคมของการเมตตากัน สังคมของการให้อภัยกัน สิ่งนั้นเป็นสังคม แล้วเราเกิดในสังคมนั้นน่ะ เป็นความดีของคนอื่น แล้วความดีของเราล่ะ
นี่ความดีของเราจะเกิดตรงนี้ ตรงที่ว่าเราบูชาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ประกาศธรรม ประกาศธรรมทั่วไปประกาศธรรม เทวดารับรู้กันไปส่งข่าวกันไป แล้วเราก็ปฏิบัติธรรม เราได้ธรรมนั้น เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา นี่สิ่งนี้เอาย้อนกลับมาถึงเรา นี่เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเรามีการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม
การเวียนเทียนนี่ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เจ้าของศาสนา ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรม ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้สิ่งนี้ได้ เพราะมันเป็นเรื่องจิตใต้สำนึก มันเป็นเรื่องของกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกอยู่บนผิวน้ำเท่านั้น สวะลอยอยู่ผิวน้ำเราก็เห็นสวะ ความคิดเราๆ ก็ว่าความคิดเราเป็นอย่างนั้น แม้แต่ความคิดเรา เรายังยั้งความคิดเราไม่ได้ นี่สวะสิ่งนี้มันมีอยู่ แล้วมันก็หมุนเวียนออกไป ตามความเห็นของเรา แล้วไม่มีใครทวนกระแสกลับเข้ามาสิ่งนี้ได้นะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ไปศึกษากับคนอื่น คิดว่าจะมีผู้สั่งสอนไง มีผู้สั่งสอนมีครูบาอาจารย์อยู่ก็ไปศึกษากับเขา แล้วก็ไม่ใช่หรอก มันเป็นความสงบของใจ ทำความสงบของใจแล้วสิ่งนั้นว่าจะเป็นศาสดาๆ มันไม่สามารถชำระกิเลสได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสร้างบุญกุศลมา พุทธวิสัย เห็นไหม สร้างตัวเองมา จะต้องตัวเองมาตรัสรู้เอง นี่ถึงย้อนกลับเข้ามาไง ย้อนกลับว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมานี่เป็นสิ่งที่มันสงบ เดี๋ยวมันก็เสื่อม เดี๋ยวมันก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา มันไม่จริง ถ้ามันไม่จริงทำอย่างไร ต้องพยายามค้นคว้าเอา ต้องพยายามแสวงหาเอา สยัมภูตรัสรู้ตนเอง เห็นไหม นี่สำคัญตรงนี้ ตรงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม หนึ่งไม่มีสอง ทีละหนึ่งองค์เท่านั้น พระปัจเจกพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้มารู้ธรรมได้
แต่เราสาวกะผู้ได้ยินได้ฟัง ผู้ได้ยินได้ฟัง ระลึกถึงธรรมไง ธรรมมีตั้งแต่หยาบๆ เห็นไหม เราทำไม่ได้เราก็ทำทาน เราก็เวียนเทียนของเราเพื่อระลึกถึงให้เป็นการกระทำของเรา สิ่งที่มีการกระทำเกิดขึ้นมา มันก็จะเป็นสิ่งที่เราได้ทำ ได้เป็นบุญกุศลของเรา ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรเลย อาหารวางอยู่ตรงหน้า ถ้าใครหยิบใส่ปากคนนั้นจะได้อิ่มท้อง อาหารวางอยู่ตรงหน้าแล้วเราก็ปฏิเสธ เราก็ไม่เข้าใจว่าอาหารนั้นเป็นประโยชน์กับเราหรือไม่เป็นประโยชน์กับเราเพราะปัญญาของเรา เราทำความดีของเราแล้ว ความดีของเราคือตัวของเรา อาหารวางอยู่ข้างหน้าคือธรรมไง สิ่งที่ธรรมอยู่ข้างหน้าเราหยิบใส่ปากของเรา เราจะเป็นประโยชน์ของเรา
นี่ก็เหมือนกัน การกระทำ เวียนเทียนนี่ เขาว่าเอาดอกไม้ไปเวียนเทียนรอบสิ่งที่ว่าเป็นปูชนียสถาน ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ได้ประโยชน์มากเพราะสิ่งนั้นเป็นเจดีย์ไง เป็นที่บูชาเห็นไหม องค์พระพุทธรูปเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ระลึกถึงใจของเรา ใจของเราผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่มันเศร้าหมองเพราะกิเลสมันปกคลุม ถ้าสิ่งนี้มันตื่นขึ้นมา เห็นไหม เราปลุกให้มันตื่นขึ้นมา มาเวียนเทียนก็ปลุกใจของเรา นี่ระลึกพุทโธๆ ขึ้นมานี่ ระลึกพุทโธขึ้นมามันก็มีสติมีความรู้สึกขึ้นมา ระลึกธัมโมๆ ระลึกถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราอยากจะรู้ธรรมอันนั้น ระลึกถึงสังโฆ เห็นไหม พระสงฆ์สาวกผู้ที่ประพฤติปฏิบัติชอบรู้ตามความเป็นจริงแล้วชี้นำเรา สิ่งนั้นเป็นไปได้
นี่ใครทำจริงก็ได้จริง ดูเขาถ่ายรูปสิมันเป็นแฟลชออกไปเท่านั้น ทำไมภาพมันติดที่กล้องล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจงใจ เราตั้งใจ ภาพในใจของเราจะชัดมากเลย เราต้องจงใจนะ เราทำบุญกุศลของเรา ภาพมันจะประทับที่ใจ นี่สายตาการกระทำของเรานี่เหมือนกับแฟลชส่งออกไป เห็นไหม ถ้าเราดึงภาพนั้นเข้ามาที่ใจของเราได้ นี่บุญกุศลเกิดที่ใจ เกิดที่ใจแล้วดับที่ใจ ถ้าใครจงใจใครตั้งใจทำจริงคนนั้นจะได้บุญกุศลจริง ใครทำเล่นก็จะได้เล่น เหมือนกับเราเปิดประตูถ้าเราเปิดประตูมากเท่าไหร่อากาศเข้าได้มาก เปิดประตูได้น้อย นี่ใจหยาบใจละเอียดอยู่ตรงนี้ไง บางคนไม่เชื่อน่ะมันทำสักแต่ว่าทำ ทำแล้วมันจะได้ผลประโยชน์อะไร เพราะเขาไม่จริง
ศาสนานี้เรื่องจริงนะ เรื่องของกิเลสก็เป็นเรื่องจริง จริงแต่มันตายได้ แล้วหัวใจนี่จริงสุดส่วน แล้วกิเลสมันแช่อยู่ในหัวใจ ธรรมชำระสิ่งนั้นออกไปได้ ถ้าเราจริงเราสามารถชำระกิเลสของเราได้ ถ้าเราไม่จริงเราทำเล่นมันก็สักแต่ว่าเป็นอามิส ทำกันไป ลูบคลำกันไป สิ่งที่ลูบคลำกันไปก็เวียนตายเวียนเกิดกันในวัฏฏะต่อไป เวียนตายเวียนเกิดทุกข์ขนาดนั้น เห็นไหม แล้วมีศาสนา เรามีบุญกุศลมากนะ
คนเราเกิดมาพุทธศาสนา กึ่งพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก ศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ตอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่น่ะ เผยแผ่ธรรมไป แล้วจะอีกคราวหนึ่งกึ่งพุทธกาลนะ ศาสนาเจริญรุ่งเรือง แล้วเห็นไหม ตั้งแต่หลวงปู่มั่นประพฤติปฏิบัติมานี่ เรื่องของใจ มันเห็นเรื่องของใจ เห็นเรื่องของทุกข์เรื่องของนามธรรมที่ใครไม่สามารถเห็นได้ ท่านสามารถชำระออกจากใจได้ แล้วเห็นความสำคัญของใจไง แล้วกิริยาการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นี่ข้อวัตรปฏิปทาเครื่องดำเนิน
นี้ก็เหมือนกัน การเวียนเทียนมันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ มันเป็นกิริยาที่เราทำ ถ้าความจงใจของเราเปรียบเหมือนจงใจ จงใจขนาดไหน กล้องถ่ายภาพภาพจะติดเข้าไปที่ใจๆ เวียนเทียนตั้งแต่ปีกลายปีก่อนมา นึกถึงภาพอันนั้นมันก็ยังอยู่ตลอดไป อันนี้ก็เหมือนกัน ถึงให้ตั้งใจให้จงใจทำ เพื่อบุคคลคนนั้น ทำเพื่อหัวใจของเรา ใจของเราจะได้บุญกุศลขึ้นมา เป็นบุญกุศลแน่นอน เวียนเทียน เห็นไหม องค์เจดีย์เป็นศาสนเจดีย์ เครื่องอยู่บริโภคของครูบาอาจารย์ เห็นไหม นั่นน่ะ แล้วเราเคารพขึ้นมา นี่เป็นคนขึ้นมาตรงนี้ เป็นคนขึ้นมาเพราะเราจริงจังของเราขึ้นมา จะเป็นประโยชน์กับเรา
เดี๋ยวถึงจะพาเวียนเทียนนะ พาทำวัตรก่อน ทำวัตรสวดมนต์ไง ทำวัตรสวดมนต์นี่ เราเห็นผิดจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอขมาขอให้เราเห็นถูกต้องตามนั้น แล้วเราจะมีดวงตาเห็นธรรม เราจะเป็นไปได้ เราจะพ้นจากกิเลสได้ กิเลสที่เป็นความทุกข์นี่เวลาทุกข์ที่ใจไม่ต้องถามใครเลย เรามีทุกข์ในหัวใจไหม? กิเลสคือความทุกข์ที่ในหัวใจนี้มันหลุดออกไป แล้วมันจะสุขขนาดไหน คิดเอาเอง
แล้วเกิดขึ้นมาจากใจ ใจนี้เป็นภาชนะที่จะทำได้ แล้วมีกับเราเราทำไมจะปล่อยข้ามไปล่ะ เรามองไม่มองสิ่งนี้ ไม่มองสิ่งที่ว่ามีคุณค่าประโยชน์เลย สิ่งที่มีคุณประโยชน์ที่สุดคือหัวใจของมนุษย์ หัวใจของสัตว์โลกมันแปรสภาพ มันเจริญรุ่งเรืองได้กับเศร้าหมองได้ นี่เราเห็นสิ่งสภาวะสิ่งนี้ แล้วเราตั้งใจทำของเรา ตั้งใจทำแล้วจะเป็นไป เป็นไปตามแต่ความเห็นของสัตว์โลกที่มันจะพัฒนาขึ้นไป แล้วจะประสบความสำเร็จ เอวัง
"